me

me

Present simple tense

 Present Simple Tense
Tense (เท็นซ) หมายถึง กาลเวลา เป็นรูปแบบของคำกริยาที่แสดงให้ทราบว่า การกระทำนั้นๆหรือเหตุการณ์นั้นๆได้เกิดขึ้นเมื่อไร ได้เกิดขึ้นแล้วหรือว่ากำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตซึ่งแบ่งได้เป็น 3 กาลเวลาด้วยกันคือ
            1. Present Tense (เพร็ซซึนซ เท็นซ)       =  เหตุการณ์ปัจจุบัน
            2. Past Tense (พาสท เท็นซ)               =  เหตุการณ์ในอดีต
3. Future  Tense (ฟิลเชอร์ เท็นซ)            =  เหตุการณ์ในอนาคต
ซึ่ง Tense ที่เราจะศึกษากันในวันนี้เป็น Present Tense (เหตุการณ์ปัจจุบัน) ในรูปของ Present Simple Tense ซึ่งเป็น Tense พื้นฐานที่นักเรียนจำเป็นต้องศึกษาเพื่อใช้เป็นแนวทางในการศึกษา Tense อื่นๆในระดับสูงต่อไป



โครงสร้างของ Present Simple Tense

กรณีที่ 2 หาก Subject (ประธาน) เป็น Plural Subject (เอกพจน์ มีมากกว่าหนึ่ง) V1 ไม่ต้องเติม S
       กฎข้อนี้รวมไปถึง ประธานที่ไม่ใช่ Plural Subject 2 ตัว คือ I และYou ด้วยนะคะ

Subject
V1+s
V. to be
V. to have
They , We
พวกเขา , พวกเรา

  I
ฉัน 

 You
เธอ
ประธาน เดิน ไปโรงเรียน
V1 ใช้คำว่า (walk)
ß
They walk to school.
We walk to school.
I walk to school.
You walk to school.
ประธาน เป็น นักเรียน
V. to beใช้คำว่า  are
ß
They are students.
We are students.
ประธาน มี ปากกา 1 ด้าม
V.to haveใช้คำว่า have
ß

ประธาน ( I ) เป็น นักเรียน
V. to beใช้คำว่า am
ß
I am a student.
They have a pen.
We have a pen.
I have a pen.
You have a pen.
ประธาน (You) เป็น นักเรียน
V. to beใช้คำว่า are
ß
You are a student.
Jan and Jo are students. (แจนและโจเป็นนักเรียน)
ประโยคนี้ เราใช้ are เป็น V. เพราะ Jan and Jo มี 2 คน เป็น Plural มากกว่า 1 แทนชื่อประธานด้วย They ได้  จึงใช้ are เป็น V. ได้

My friends walk to school. (เพื่อนของฉันเดินไปโรงเรียน)
ประโยคนี้ เราใช้ walk เป็น V. ไม่เติม S เพราะ..........................................................แทนชื่อประธานด้วย ………………. ได้  จึงใช้ walk เป็น V. ได้โดยไม่ต้องเติม S
My parents have a pen. (พ่อกันแม่ของฉันมีปากกา 1 ด้าม)
ประโยคนี้ เราใช้ have เป็น V. เพราะ.......................................................................แทนชื่อประธานด้วย ………………. ได้  จึงใช้ have เป็น V. ได้







กฎในการเติม s และ es หลัง V1 (กริยาช่องที่1)
1. เติม s ได้ทันที่หลังคำกริยาปกติทั่วๆ ไป
          walk  -        walks                             eat     -        eats
          read   -        reads                              move -        moves
          swim -        swims                            listen -        listens

2. เติม es หลังคำหริยาที่ลงท้ายด้วย s , ss , sh , ch , x , z และ o เช่น
                dress -        dresses                 kiss   -        kisses
          teach -        teaches                 wash -        washes
          fix     -        fixes                     go     -        goes

3. คำกริยาที่ลงท้ายด้วย y ให้เปลี่ยน y เป็น i แล้วเติม es เช่น
                study -        studies                 cry     -        cries
          fly     -        flies                     try     -        tries

** ยกเว้น ถ้าหน้า y เป็นสระ ( a , e , i , o , u ) ให้เติม s ได้เลย เช่น
                play   -        plays                    buy    -        buys
        stay     -        stays                     say    -        says
























































การทำประโยคบอกเล่าให้เป็นประโยคปฏิเสธและประโยคคำถาม
1. ประโยคบอกเล่าที่มี V. to be ( is, am, are ) และ can สามารถทำได้ดังนี้
                                * เพื่อให้เป็นประโยคปฏิเสธให้เติม not หลัง V. to be หรือ can
* เพื่อให้เป็นประโยคคำถาม ให้เอา V. to be หรือ can มาไว้หน้าประโยค พร้อมใส่เครื่องหมายคำถาม (?)  ตัวอย่างเช่น

ปฏิเสธ   : He is not a student.
บอกเล่า : He is a student.
คำถาม    : Is he a student?

ปฏิเสธ: They can not speak English.
บอกเล่า : They can speak English.
คำถาม    : Can they speak English?

2. ประโยคทีมี V. to have (have, has) ปกติเราสามารถใช้วิธีเดียวกับคำกริยาช่วยตัวอื่นๆที่กล่าวมาในข้อ 1 แต่ปัจจุบันนิยมใช้ V. to do (do, dose) มาช่วยในการทำเป็นประโยคปฏิเสธและประโยคคำถามดังนี้คะ
          ประโยคปฏิเสธ เติม Does not/Do not หน้า V. to have.
                ประโยคคำถามเติม Does / Do หน้าประโยคบอกเล่า.
ปฏิเสธ   : He does not have a car.
บอกเล่า : He has a car.
คำถาม    : Does he have a car ?

ปฏิเสธ:We do not have some books.
บอกเล่า : We have some books.
คำถาม    : Do we have some books?






หลักในการใช้ Present Simple Tense

1. ใช้ Present Simple Tense กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติและเป็นความจริงตลอดไป เช่น
                The sun rises in the east. (ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก)
                The moon moves round the earth. (ดวงจันทร์หมุนรอบโลก)
                The earth is round. (โลกกลม)
                The stars shine brightly at night. (ดวงดาวต่างๆส่องแสงสว่างจ้าในตอนกลางคืน)
                Water boils at 100 c. (น้ำเดือดที่อุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียส)
2. ใช้กับเหตุการณ์ที่เป็นความจริงตามคำพังเพย หรือคำสุภาษิต เช่น
                Time is money. (เวลาเป็นเงินเป็นทอง)
                Three and Three make six. ( สามบวกสามเป็นหก)
3. ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นประจำโดยสม่ำเสมอ เป็นนิสัยหรือเป็นกิจวัตรส่วนใหญ่มักจะมีคำต่อไปนี้อยู่ในประโยค เช่น
Always            =  สม่ำเสมอ                 Often               =  บ่อยๆ
Usually            =  โดยปกติ                  Sometimes       =  บางครั้ง
Ever                 =  เคย                       Never               =  ไม่เคย
every  day             =  ทุกๆ วัน             generally         =  โดยทั่วๆ ไป
seldom                  =  แทบจะไม่           at 7.00             =  เวลา 7 นาฬิกา
at night                  =  ตอนกลางคืน           in winter         =  ในฤดูหนาว

She usually forgets the key. (โดยปกติเธอลืมกุญแจเป็นประจำ)
We walk to school everyday. (พวกเราไปโรงเรียนทุกวัน)
4. ใช้กับคำกริยาที่แสดงการรับรู้แลสภาวะจิตใจ เช่น Believe, like, love, see, hear understand, taste, hate……..
I believe my parents. (ฉันเชื่อฟังพ่อแม่ของฉัน)
He likes cats and dogs. (เขารักแมวและสุนัข)
We understand what he said. (พวกเราเข้าใจในสิ่งที่เขาพูด)







ข้อแตกต่างระหว่าง Present Simple Tense
และ Past Simple Tense

Present Simple Tense เป็นประโยคที่ใช้ในเหตุการณ์ปัจจุบัน เรื่องที่ทำบ่อยๆ เป็นธรรมชาติ
Past Simple Tense เป็นประโยคที่ใช้ในเหตุการณ์ที่เป็นอดีตโดยมีคำระบุความเป็นอดีตเช่น yesterday (เมื่อวานนี้) , last night (week/month/ year/..etc.)(...ที่แล้ว) , at that time (ในตอนนั้น),
1. ประโยคบอกเล่า
Present Simple Tense
Past Simple Tense
A dog walks to school.
A dog walked to school yesterday.
They come to see me.
They came to see me last Thursday.
2. ประโยคปฏิเสธ
Present Simple Tense
Past Simple Tense
A dog does not walk to school.
A dog did not walk to school yesterday.
They do not come to see me.
They did not come to see me last Thursday.
3. ประโยคคำถาม
Present Simple Tense
Past Simple Tense
Does a dog walk to school?
Did a dog walk to school yesterday?
Do they come to see me?
Did they come to see me last Thursday?